หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2568

AI เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI)

 AI เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) จะกลายเป็นเครื่องมือพื้นฐาน

       เราจะมีวิธีการใช้งาน AI เชิงสร้างสรรค์ อย่างไรในชีวิตประจำวัน ?

        Generative AI คือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างสิ่งใหม่ ๆ จากข้อมูลเดิม เช่น การสร้างภาพ เสียง หรือข้อความอย่างสร้างสรรค์ ปัจจุบัน AI ประเภทนี้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลายวงการ ตั้งแต่งานศิลปะจนถึงวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเปิดมิติใหม่ในการทำงานของมนุษย์อย่างมาก.
        
        ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Creative AI) คือการประยุกต์ใช้ AI เพื่อสร้างผลงานใหม่ที่แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ ดนตรี งานออกแบบ วรรณกรรม หรือแม้แต่นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยเทคนิค Machine Learning และ Deep Learning วิเคราะห์ข้อมูลต้นแบบจำนวนมากเพื่อสร้างสิ่งใหม่ที่มีความแปลกใหม่แต่ยังคงมีความหมาย ตัวอย่างเช่น AI ที่สามารถแต่งเพลงในสไตล์ของศิลปินชื่อดัง วาดภาพในลักษณะศิลปะคลาสสิก หรือแม้แต่สร้างไอเดียโฆษณาที่ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งนี้ AI ไม่ได้ทำหน้าที่แทนความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ทั้งหมด แต่เป็นเครื่องมือเสริมพลังและขยายขอบเขตจินตนาการให้กว้างไกลยิ่งขึ้น

                                      

                                         ที่มา : https://www.novelbiz.co.th/ai-creative-2023/

           ในปัจจุบัน AI เชิงสร้างสรรค์ถูกนำมาใช้ในวงการอุตสาหกรรมและธุรกิจอย่างแพร่หลาย เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ด้วย Generative Design การสร้างคอนเทนต์ภาพหรือวิดีโอด้วย Generative AI ตลอดจนงานเขียนบทความโฆษณาและข่าวสารอัตโนมัติ ส่งผลให้การผลิตผลงานใช้เวลาสั้นลง เพิ่มความหลากหลายทางแนวคิด และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการกำกับดูแลจริยธรรมในการใช้ AI เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานต้นแบบหรือสร้างข้อมูลเท็จ ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญของการพัฒนา AI เชิงสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมอย่างยั่งยืน

------------------------------------------------


ตัวอย่าง Generative AI  

จากช่อง https://www.youtube.com/watch?v=qrQZRXeY9_E&ab_channel=DataInnovationandGovernanceInstitute%2CDIGI

----------------------------------------------

            จะเห็นได้ว่า Generative AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงในงานต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของเรา ไม่ว่าเราจะทำงานด้านอะไรก็ตาม มันจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ....เราจะมีวิธีการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีอย่างไร ขึ้นอยู่กับเราเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด

Deepfake และ Digital Human

 

เทคโนโลยี Deepfake และ Digital Human ก้าวไกลขึ้น

        ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยี Deepfake และ Digital Human ได้พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว Deepfake คือการใช้ AI โดยเฉพาะ Deep Learning ในการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงใบหน้า เสียง หรือท่าทางของบุคคลในภาพหรือวิดีโอให้เหมือนจริงจนยากจะแยกออกจากของจริง ปัจจุบัน Deepfake ถูกใช้ในอุตสาหกรรมบันเทิงและการโฆษณาอย่างสร้างสรรค์ เช่น การสร้างโฆษณาที่ให้คนดังในอดีตกลับมาโปรโมทสินค้า หรือสร้างนักแสดงแทนในฉากเสี่ยงอันตราย แต่ในทางกลับกัน Deepfake ยังเป็นภัยด้านความมั่นคงข้อมูลข่าวสารเมื่อถูกใช้เพื่อสร้างข่าวปลอม วิดีโอลวง หรือแบล็กเมล์ จึงต้องมีการพัฒนาระบบตรวจจับและกฎหมายกำกับดูแลควบคู่กันไป

ที่มา : https://thethaiger.com/th/news/1050505/

        ขณะเดียวกัน Digital Human หรือมนุษย์ดิจิทัล ซึ่งถูกพัฒนาด้วยเทคโนโลยี AI, CGI และ Motion Capture ก็มีความสมจริงมากขึ้น ทั้งในรูปร่าง สีผิว ท่าทาง น้ำเสียง และบุคลิก จนถูกนำมาใช้งานจริง เช่น Virtual Influencer สำหรับทำตลาดออนไลน์ พนักงานบริการดิจิทัลในเว็บไซต์ หรือครูสอนภาษาจำลองในแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยสร้าง Digital Twin ที่เลียนแบบตัวบุคคลในโลกจริง เพื่อใช้ในงานดูแลสุขภาพและการวางแผนธุรกิจส่วนบุคคล เทคโนโลยีเหล่านี้เปิดประตูสู่โลกเสมือนและ Metaverse ที่สมจริงและมีปฏิสัมพันธ์ลึกยิ่งกว่าเดิม แต่ในอีกมุมหนึ่ง ยังต้องตระหนักถึงผลกระทบด้านความเป็นส่วนตัวและจริยธรรมในการใช้ภาพลักษณ์ของบุคคลอย่างรอบคอบ.

Quantum Computing

 Quantum Computing เริ่มสอดแทรกวงการวิจัย

        Quantum Computing หรือคอมพิวเตอร์ควอนตัม กำลังเริ่มเข้ามามีบทบาทในวงการวิจัยอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในงานที่ต้องการประมวลผลข้อมูลซับซ้อนและมีมิติสูง เช่น การคำนวณโครงสร้างโมเลกุลในเคมีควอนตัม การออกแบบยาและวัคุ้มกันใหม่ (Drug & Vaccine Discovery) ไปจนถึงการแก้โจทย์ Optimization ที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมต้องใช้เวลานานมาก Quantum Computing ใช้หลักการของ Quantum Mechanics ทั้ง Superposition และ Entanglement ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลพร้อมกันได้ภายในเวลาอันสั้น แม้ในปัจจุบัน Quantum Computer ยังอยู่ในขั้นทดลอง เช่น Quantum Supremacy ของ Google หรือ IBM Q System One แต่ก็ได้แสดงให้เห็นศักยภาพที่เหนือกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปในโจทย์บางประเภท

ที่มา : https://spectrum.ieee.org/tag/quantum-volume

        ปัจจุบัน บริษัทเทคโนโลยีและมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกต่างเร่งวิจัยเพื่อสร้างฮาร์ดแวร์ควอนตัมที่เสถียร ใช้งานได้จริง และพัฒนาซอฟต์แวร์ควอนตัมเพื่อใช้ในงานวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม ในด้าน AI เอง ก็เริ่มมีแนวคิด Quantum Machine Learning (QML) ที่จะยกระดับการเรียนรู้ของระบบ AI ให้เร็วขึ้นหลายพันเท่า หาก Quantum Computing สามารถพัฒนาไปถึงจุดที่นำมาใช้เชิงพาณิชย์ได้จริง จะเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์ การแพทย์ พลังงาน และความมั่นคงของข้อมูล แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมพร้อมปรับระบบเข้ารหัสความปลอดภัยใหม่ (Post-Quantum Cryptography) เพื่อรับมือกับความสามารถในการถอดรหัสข้อมูลที่ Quantum Computer สามารถทำได้ภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที.

AI + IoT = Smart Everything

 AI + IoT = Smart Everything

        เทคโนโลยี AI จะทำงานร่วมกับ IoT (Internet of Things) เพื่อสร้างโลกอัจฉริยะ เช่น บ้านอัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ และระบบดูแลสุขภาพอัจฉริยะ

ตัวอย่างเทคโนโลยีที่นำเสนอคือ

บ้านอัจฉริยะคืออะไร และระบบ Smart Home ทำงานอย่างไร 

จุดมุ่งหมายของระบบบ้านอัจฉริยะ Smart Homeคือการสร้างสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพและสะดวกสบาย โดยการผสมผสานเทคโนโลยี

บ้านอัจฉริยะ คือ

        บ้านอัจฉริยะ หรือ Smart Home คือ ที่อยู่อาศัยที่ติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่สามารถควบคุมได้จากระยะไกลหรืออัตโนมัติ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น เทอร์โมสตัทอัจฉริยะและไฟส่องสว่าง สามารถสื่อสารระหว่างกันและเจ้าของบ้านผ่านสมาร์ทโฟนหรือผู้ช่วยเสียง

ระบบบ้านอัจฉริยะ Smart Home ทำงานอย่างไร

ระบบบ้านอัจฉริยะ Smart Home เชื่อมต่ออุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น Wi-Fi หรือบลูทูธ อุปกรณ์เหล่านี้สื่อสารกันเอง สามารถควบคุมจากระยะไกลผ่านแอพหรือผู้ช่วยเสียง และทำงานอัตโนมัติได้ตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เซ็นเซอร์ตรวจจับการเปลี่ยนแปลง ทริกเกอร์เริ่มต้นการกระทำ และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลจะรักษาผ่านการเข้ารหัส ระบบจะสร้างบ้านที่สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้การควบคุมระยะไกล ระบบอัตโนมัติ และการรวมอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น

ระบบ Smart Home ที่น่าสนใจ

ด้วยระบบ IoT Smart Home ทำให้มีความเป็นอยู่ในบ้านสะดวก สบาย และมีความสมดุลในการใช้ชีวิต ระบบ Smart Home มีอุปกรณ์และความสามารถที่น่าสนใจมากมาย ดังนี้

1. ระบบไฟอัจฉริยะ 

ระบบต่าง ๆ เช่น Philips Hue ช่วยให้คุณควบคุมไฟจากระยะไกล เปลี่ยนสี ตั้งเวลาได้

2. เทอร์โมสแตทอัจฉริยะ 

แบรนด์ต่าง ๆ เช่น Nest  มีเทอร์โมสตัทที่เรียนรู้ความชอบของคุณและปรับอุณหภูมิให้

3. การรักษาความปลอดภัยภายในบ้าน 

ระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ เช่น Ring มีกล้อง กล้องกริ่งประตู และเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ช่วยให้คุณตรวจสอบบ้านของคุณจากระยะไกล

4. Voice Assistants 

Amazon Echo (Alexa), Google Home (Google Assistant) และ Apple HomePod (Siri) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำหรับควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยใช้คำสั่งเสียง พวกเขายังสามารถตอบคำถามและให้ข้อมูลได้อีกด้วย

5. Smart Locks 

แบรนด์ต่าง ๆ เช่น August มีสมาร์ทล็อกที่ให้คุณล็อกและปลดล็อกประตูได้จากระยะไกล คุณยังสามารถให้สิทธิ์การเข้าถึงชั่วคราวแก่แขกได้อีกด้วย

6. Home Automation Hubs 

ระบบต่าง ๆ เช่น Samsung SmartThings เป็นแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ สำหรับเชื่อมต่อและควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ จากผู้ผลิต

7. การควบคุมความบันเทิง 

อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น Logitech Harmony Hub ช่วยให้คุณควบคุมระบบความบันเทิง (ทีวี ซาวด์บาร์ ฯลฯ) ด้วยรีโมทหรือสมาร์ทโฟนของคุณ

8. ปลั๊กอัจฉริยะ 

ปลั๊กเหล่านี้สามารถเปลี่ยนอุปกรณ์ใด ๆ ให้เป็นอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยให้คุณควบคุมพลังงานจากระยะไกล มีประโยชน์สำหรับปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือไฟเมื่อไม่ต้องการ

9. การรักษาหน้าต่างอัตโนมัติ 

มู่ลี่และม่านควบคุมด้วยมอเตอร์สามารถควบคุมได้จากระยะไกล หรือตั้งตามกำหนดเวลา เพื่อความเป็นส่วนตัวและประหยัดพลังงาน

10. เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ 

เครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่าง เช่น ตู้เย็น เตาอบ และเครื่องซักผ้ามีวางจำหน่ายแล้วในเวอร์ชันอัจฉริยะที่ควบคุมได้จากระยะไกลและมีแม้แต่แจ้งเตือน

11. ระบบตรวจสอบภายในบ้าน 

ระบบ เช่น Canary มีหน่วยเซ็นเซอร์หลายตัวที่คอยตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ในบ้าน เช่น คุณภาพอากาศ ความชื้น และอุณหภูมิ

12. อุปกรณ์ตรวจจับน้ำรั่วอัจฉริยะ 

อุปกรณ์เหล่านี้สามารถแจ้งเตือนเมื่อมีน้ำรั่วหรือน้ำท่วมในบ้าน ช่วยป้องกันความเสียหายจากน้ำ

       จากข้อมูลจะเห็นว่าระบบบ้านอัจฉริยะมีเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนประกอบอยู่หลายด้านด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานสะดวกและมีความปลอดภัยในการพักอาศัย 



วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568

Welcome

👋 Welcome to TrendIt2025

ยินดีต้อนรับสู่แหล่งรวมเทรนด์แห่งอนาคต!

            ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วเกินคาด ความรู้และการเตรียมพร้อมคือกุญแจสู่ความสำเร็จ TrendIt2025 พร้อมพาคุณเจาะลึกเทรนด์ใหม่ล่าสุดด้าน เทคโนโลยี การศึกษา นวัตกรรม ธุรกิจ และไลฟ์สไตล์ ที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกในปี 2025 และอนาคต

🚀 อัปเดตความรู้ แบบเรียลไทม์
🎯 เรียนรู้แนวโน้มใหม่ ๆ พร้อมตัวอย่างการประยุกต์ใช้
🌐 เชื่อมต่อกับชุมชนผู้สนใจอนาคต จากทั่วโลก

“เพราะผู้ที่เห็นอนาคตก่อน ย่อมสร้างโอกาสก่อน”


https://www.manpowerthailand.com